เปลี่ยนจาก หลอดฟลูออเรสเซนต์ มาใช้ หลอดไฟ LED กันเถอะ !!
แสงสว่างเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมากต่อสิ่งมีชีวิตยุคปัจจุบันทั้งในเรื่องการดำรงชีพ การแพทย์ การเรียน หรือแม้กระทั่งการทำงาน และการเลือกไฟที่ให้แสงสว่างอย่างมีประสิทธิภาพก็เป็นอีกเรื่องสำคัญเช่นกัน ในยุคปัจจุบันหลอดไฟที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายจะมี หลอดฟลูออเรสเซนต์ กับ หลอดไฟแอลอีดี เพราะหาซื้อได้ทั่วไป มีประสิทธิภาพ แต่หลอดทั้งสองแบบก็แตกต่างกัน หลายคนอาจจะมีข้อสงสัยว่าเราจะเลือกหลดไฟแบบไหนดีนะ ?
- หลอดฟูลออเรสเซนต์มีอันตรายตรงที่มีสารปรอทบรรจุอยู่ภายในหลอด จึงทำให้เวลาหลอดไฟแตกจะเป็นอันตรายอย่างมาก ซึ่งหลอดไฟ LED ไม่มี
- หลอดฟูลออเรสเซนต์เมื่อใช้งานเป็นเวลานาน ตัวหลอดจะมีความร้อนที่สูง จับต้องไม่ได้ แต่หลอดไฟ LED นั้นมีความร้อนต่ำ สามารถจับต้องได้ในระหว่างการใช้งาน
- หลอดฟูลออเรสเซนต์จะเสียง่ายเมื่อเปิดปิดบ่อยๆซึ่งแตกต่างจากหลอดไฟLED ที่ทนทานมากกว่า
- หลอดฟูลออเรสเซนต์มีราคาถูกกว่าหลอดไฟ LED แต่การให้แสงสว่างก็น้อยกว่ามากเช่นกัน
- หลอดฟูลออเรสเซนต์มีอายุการใช้งานประมาณ 20,000 ชั่วโมง ส่วนหลอดไฟ LED ที่มีอายุการใช้งานประมาณ 50,000 ชั่วโมง ซึ่งมีอายุการใช้งานนานกว่าถึงเท่าตัว
- หลอดฟูลออเรสเซนต์กินไฟมากกว่าหลอดไฟ LED ทำให้ต้องเสียค่าไฟมากกว่า
- หลอดฟูลออเรสเซนต์เมื่อกดสวิทช์เปิด หลอดไฟจะกะพริบก่อนติด ขณะที่หลอดไฟLED จะติดทันที
- หลอดไฟ LED มีความทนทานกว่าเพราะผลิตจากพลาสติก จึงทนต่อแรงสั่นสะเทือนได้ดี
- หลอดไฟ LED ไม่ต้องใช้ทั้งสตาร์ทเตอร์และบัลลาดในการติดตั้ง
ทั้งนี้จากข้อแตกต่างข้างต้น จะเห็นได้ว่าหลอดไฟทั้งสองชนิดมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันออกไป แต่ถ้าต้องการความปลอดภัย หลอดไฟ LED จะเหมาะกว่า เพราะหลอดฟูลออเรสเซนต์นั้นจะมีความร้อนที่สูงในขณะใช้งาน และถ้าเกิดแตกหักก็จะเป็นอันตรายต่อผู้ที่อยู่ใกล้เคียงที่อาจจะสัมผัสโดนสารปรอทได้ ขณะที่หลอดไฟ LED ไม่มีปรอทอยู่ด้านในต่อให้แตกหักยังไงก็ยังปลอดภัยมากกว่าแถมเหมาะกับการใช้งานในบ้านที่มีเด็กเล็กอาศัยอยู่อีกด้วย ถึงราคาหลอดไฟ LED จะมีราคาที่สูงกว่า แต่ประสิทธิภาพในการใช้งานจะสูงกว่าและใช้งานได้ยาวนานกว่า
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น